ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสิว
สิว คืออะไร (Acne / Pimple / Zits) สิว คือ ตุ่มเม็ดเล็กๆ ที่มีหนองเป็นไตสีขาว ๆ อยู่ข้างใน ขึ้นตามหน้า เกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขนจากหัวสิว โคมิโดน (Comedone)ซึ่งสามารถอักเสบได้ง่ายหากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรีย หรือ ฝุ่นละอองในอากาศ สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามเส้นขน หากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทำให้เกิดสิว สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆได้แก่ สิวธรรมดาหรือที่เรียกว่า Acne vulgalis สิวหัวดำ สิวที่มีการอักเสบเป็นหนอง บางรายมีตุ่มหนองด้วยประเภทของสิวสิว แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ1. สิวไม่อักเสบ(non-inflammatory acne) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ 1.1 สิวหัวปิด/สิวหัวขาว(closed or white head comedones) เห็นเป็นตุ่มนูนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ1-3 มม. สีเดียวกับผิวหนัง ท่อเปิดของต่อมไขมันที่ตุ่มเหล่านี้แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและร้อยละ 75 ของสิวชนิดนี้จะกลายเป็นสิวอักเสบ 1.2 สิวหัวเปิด/สิวหัวดำ(open or black head comedones ) เห็นเป็นตุ่มนูนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-3 มม. มีจุดสีดำอยู่ตรงกลางซึ่งเกิดจากการขยายตัวของท่อไขมันและมีสารสีดำอุดแน่นอยู่ภายใน สารนั้นประกอบด้วยเคอราติน ไขมันและ P.acnes2. สิวอักเสบ (inflammatory acne) แบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ 2.1 papules เป็นตุ่มนูนแดงแข็งมีขนาดแตกต่างกันออกไป ร้อยละ50ของสิวชนิดนี้เกิดจากสิวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (microcomedones) ร้อยละ25 เกิดจากสิวหัวปิด อีกร้อยละ 25 เกิดจากสิวหัวเปิด 2.2 pustules (สิวหนองชนิดตื้นและลึก) ซึ่งมีได้หลายขนาด สิวหนองชนิดตื้นมักหายได้เร็วกว่าสิวชนิด papulesส่วนสิวหนองชนิดลึกจะมีอาการเจ็บร่วมด้วยและพบในผู้ที่เป็นสิวรุนแรง 2.3 Nodules สิวอักเสบแดงเป็นตุ่มนูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 8 มม.ขึ้นไป สิวชนิดนี้เมื่อหายไปอาจเกิดแผลเป็นตามมาได้ 2.4 Cyst สิวขนาดใหญ่เป็นถุงใต้ผิวหนังภายในมีหนองหรือสารเหลวๆคล้ายเนย หายแล้วมักมีแผลเป็นหลงเหลืออยู่รอยที่หลงเหลือจากการเป็นสิว มีลักษณะอย่างไรบ้าง- รอยสีน้ำตาลดำ (post inflammatory) พบได้บ่อยในคนผิวคล้ำและปรากฏให้เห็นนานหลายเดือนกว่าจะจางลงไป- รอยแผลเป็นชนิดนูน(hypertrophic scar/keloid)- รอยแผลเป็นชนิดบุ๋ม(ice-pick scar/depressed fibrotic scar)- รอยแผลเป็น 2 ชนิดหลังนี้มักพบในผู้ที่เป็นสิวรุนแรงโดยรอยแผลเป็นชนิดนูนพบได้บ่อยที่บริเวณมุมของกราม ล่างและที่ลำตัวช่วงบนการรักษาสิว งดใช้เครื่องสำอางค์ที่ทำให้เกิดสิวหรือเลือกเครื่องสำอางค์ที่ถูกกับผิวหน้า การดูแลผิวให้ทำความสะอาดผิวหน้าสม่ำเสมอด้วยวิธีธรรมดา เช่น ใช้น้ำกับสบู่เหลว สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางค์และรองพื้น การใช้Cleanser (คลีนเซอร์ หรือ คลีนซิ่งโลชั่น) จะช่วยให้สามารถทำความสะอาดและล้างเครื่องสำอางค์ออกได้เกลี้ยงขึ้น สำหรับผู้ที่หน้ามันมากอาจใช้โทนเนอร์ช่วยในการทำความสะอาดก็ได้ ทายาหรือครีมทาก่อนนอน ห้ามบีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาดเพราะอาจจะทำให้สิวลุกลาม อาหารสามารถรับประทานได้ตามปกติ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มันและหวาน ห้ามถูหน้าแรงๆในขณะล้างหน้า ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและใช้ผ้าซับเบาๆ คนที่หน้ามันให้ล้างหน้าด้วยสบู่อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง การเลือกยาทาสิวขึ้นอยู่กับชนิดของสิว ซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์ การเลือกรับประทานยาขึ้นกับแพทย์ที่ดูแลยารักษาสิว การรักษาด้วยยาทา ยาทารักษาสิวมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของ สิว ว่า เป็น สิว ชนิดธรรมดาหรือ ชนิดอักเสบ ควรทายาให้สม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลการรักษาสูงสุดและถ้ามีปัญหาจากการใช้ยาควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลท่านทันที ยารับประทาน ผู้ที่มี สิวอักเสบจำนวนมากแพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยา ยาที่ใช้อยู่มีหลายชนิด แบ่งคร่าวๆ ได้เป็น3 กลุ่มคือ1. กลุ่มยาปฎิชีวนะ เป็นกลุ่มยาที่มีราคาถูกใช้รักษาได้ผลดีออกฤทธิ์โดยการทำลายเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ2. ยาที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามิน A ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการทำให้ต่อมไขมัน ทำงานน้อยและฝ่อลงเป็นยารักษา สิวที่ดีมากสามารถช่วยป้องกันแผลเป็นที่อาจเกิดจากสิวได้ และยังช่วยให้หายมันได้ด้วย แต่ยานี้มีราคาแพงมากและมีผลต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นการใช้ยาจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น3 ยาฮอร์โมน ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายใช้ได้เฉพาะในผู้หญิงสิวอุดตัน (Non-inflammatory ance หรือ Comedone ) เป็นประเภทของสิวที่พบได้บ่อยมากกว่า 70 %ของปัญหาสิว ซึ่งพบได้ทุกกลุ่มอายุทุกเพศ แต่ส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว เกิดได้บ่อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว (โดยเฉพาะที่หลัง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมัน Sebaceous gland จำนวนมากสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน1. ต่อมไขมัน Sebaceous สร้างไขมันมากเกินไป โดยอาจเกิดจากสาเหตุ ฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน ชนิด Testosterone ซึ่งควบคุมการเจริญเติบโตและการสร้างไขมัน( Sebum) สูงมากกว่าปกติแล้วไขมันเกิดจากอุดตัน ในท่อไขมันที่ระบายไขมันออกสู่ผิวหนังด้านนอกอันนำมาซึ่งปัญหาสิวอุดตัน2. ปัญหาผิวแพ้ง่าย( Sensitive skin) มักพบเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้บ่อยเช่นกัน3. ความผิดปกติของการลอกผิวในท่อขุมขนเอง( follicular lumen) แล้วทำให้เกิดการอุดตัน4. สิวจากเครื่องสำอางค์( Acne cosmetica) มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางค์บางชนิด แล้วเกิดอาการแพ้5. สิวจากสเตียรอยด์ มักเกิดในผู้ที่ใช้ครีมทาที่ผสมสเตียรอยด์ ในการรักษาผิวแพ้ หรือรับประทานยา Prednisloneเป็นประจำ เช่นผู้ป่วยโรคไต Nephrotic syndrome หรือ SLE6. ความเครียด7. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ในภาวะใกล้หรือหมดประจำเดือนวิธีป้องกันการเกิดสิวอุดตันทำได้อย่างไร แนวทางการปฏิบัติสำหรับการป้องกันการเกิดสิวอุดตัน มีหลักการคือ พยายามอย่าให้ผิวมัน และการกระทบกระเทือนต่อท่อหรือต่อมไขมัน ดังนี้1. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เช่น สบู่ เจล โฟม ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวมัน และมีตัวยาป้องกันการเกิดสิว2. เครื่องสำอางค์ ไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำหอม สารดีเทอร์เจ้นท์3. หลีกเลี่ยงการเช็ดหน้า หรือ นวดหน้าแรงๆ4. หน้ามันมาก อาจต้องใช้โลชั่นเช็ดหน้า หรือใช้ยารับประทานกลุ่ม Retionoids หรือ ยาคุมกำเนิดกลุ่ม Dian-35เพื่อลดหน้ามัน5. เลือกครีมกันแดด SPF ประมาณ 15 เพื่อป้องกันความมันของเนื้อครีม6. ครีมบำรุง เลือกที่ไม่มีส่วนผสมของ น้ำมัน และไม่ควรมัน ไม่มีฮอร์โมนผสมในครีมบำรุง7. ครีมแก้แพ้ หรือ สบู่ล้างหน้าสำหรับผิวแพ้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวแพ้ง่าย( Sensitive skin)8. งดอาหารที่ทำให้เกิดสิวง่าย เช่น อาหารมัน อาหารรสจัด ทุเรียน ขนมหวาน ไอศกรีม9. พักผ่อนให้เพียงพอ10. ไม่เครียด11. ห้ามกด หรือ บีบสิวเอง กรณีที่เกิดสิว